วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คำสมาทานพระกรรมฐานและอธิษฐานบารมี

คำสมาทานพระกรรมฐาน

       เป็นการกล่าวคำขอพระกรรมฐารนก่อนถึงการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยให้เตรียมเทียนดอกไม้/โดยใช้เทียนขี้ผึ้งแท้หนัก ๑ บาทจำนวน ๕ เล่ม ดอกไม้ขาวจำนวน ๕ คู่ หรือเทียนขนาดเล็ก ๕ คู่( ๑๐ เล่ม) ดอกไม้ ๕ คู่ (๑๐ เล่ม)  นำใส่พานถือกล่าวคำดังต่อไปนี้ต่อหน้าพระพุทธรูป หรือต่อหน้าพระอาจารย์ (หรือจัดแบบเต็มรูปแบบ ให้ใช้ข้าวตอกดอกไม้และเทียนขี้ผึ้งแท้) (ข้าวตอกคือ ข้าวเปลือกที่คั่วแล้วสุกแตก-ดอกไม้ให้ใส่ในกรวยใบตอง กรวยละ ๒ ดอก)

ข้าวตอกดอกไม้(เครื่องขัน ๕)
เทียนขี้ผึ้งแท้หนักบาท



คำสมาทานพระกรรมฐาน
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะฉามิ
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายอัตตะภาพโดยรอบนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเพื่อเรียนพระกรรมฐาน ขอพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศจงปรากฏมีแก่ข้าพเจ้า
อิมาหัง อันเต อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะฉามิ
ข้าแต่พระอาจารย์ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายอัตตะภาพโดยรอบนี้แด่พระอาจารย์ เพื่อเรียนพระกรรมฐาน ขอพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศ จงปรากฏมีแก่ข้าพเจ้าทั้งกายทวาร วจีทวาร มโนทวาร อันละเอียดสุขุม ขอขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปมาณาสมาธิ และวิปัสสนาญาณ จงปรากฏมีแก่ข้าพเจ้า
(ต่อ)(คำอธิษฐานบารมีเก่า)

ขอพลังแห่งพระพุทธานุภาพ ขอพลังแห่งพระธรรมานุภาพ ขอพลังแห่งพระสังฆานุภาพ ขอพลังแห่งบุญคุณบิดามารดา ขอพลังแห่งบุญคุณครูบาอาจารย์ ขอพลังแห่งบุญคุณของพระอาจารย์ {ถ้าลูกศิษย์ในสำนักฯคำว่า"พระอาจารย์ฤาษีลิงเขียวภาค ๒ตลอดจนถึงบูรพาจารย์ทุกรูปทุกนามมีหลวงพ่อปานวัดบางนมโค เป็นต้น"} ตลอดจนถึงบูรพาจารย์ทุกรูปทุกนาม ขอบารมีของข้าพจ้าทุกภพทุกชาติ จงมารวมเป็นภาวะปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงซึ่ง วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิปัสสนาญาณ ๙ และญาณใดๆ อันจะพึงมีแก่ข้าพเจ้า ก็ให้สำเร็จโดยพลัน กระทำได้โดยแจ้งให้ข้าพเจ้าได้พยากรณ์ทั้งในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ตลอดจนได้ดวงตาเห็นธรรม ในมรรคแลผล จนถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันและอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ

วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พระกรรมฐาน 40 ว่าด้วยเรื่องกสิณ

กรรมฐาน 40 

กสิณ 10

กสิณเป็นกรรมฐานหมวดหนึ่ง ที่ว่าด้วยการเพ่งเอารูปเป็นเครื่องหมายเพื่อให้จิตตั้งมั่น เพื่อให้เกิดสมาธิ โดยเครื่องหมายที่นำมาเป็นรูปหมายเพื่อทำสมาธินั้นมีอยู่้ด้วยกัน 10 ประการ คือ
(ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ โลหิตกสิณ
โอทากสิณ อาโลกกสิณ อากาสกสิณ)
รูปกสิณดิน
  • ปฐวีกสิณ คือ การยกดินพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “ปฐิวีกสิณัง”  ใช้ภาพดินเป็นวงกลมหรือดินปฐพีสีแดงอิฐเป็นบริกรรมนิมิต
  • อาโปกสิณ คือ การยกน้ำขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “อาโปกสิณัง” ใช้ภาพน้ำในขันหรือพื้นท้องน้ำเป็นบริกรรมนิมิต
  • เตโชกสิณ คือ การยกไฟขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “เตโชกสิณัง” ใช้ภาพไฟที่ลุกโชนเป็นบริกรรมนิมิต
  • วาโยกสิณ คือ การยกลมขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “วาโยกสิณัง” ใช้ภาพอาการลมพัดยอดไม้ไหว หรืออาการแรงลมปะทะในสิ่งต่างๆ อย่างอ่อนไหว เป็นบริกรรมนิมิต
  • นีลกสิณ คือ การยกสีเขียวขึ้นเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “นีลกสิณัง” ใช้ภาพพื้นสีเขียวเป็นวงหรือภาพแสงสีเขียว/พื้นเขียวเป็นบริกรรมนิมิต
  • ปีตกสิณ คือ การยกสีเหลืองขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “ปีตกสิณัง” ใช้ภาพสีเหลืองเป็นวงหรือภาพพื้นสีเหลืองเป็นบริกรรมนิมิต
  • โลหิตกสิณ คือการยกสีแดงเลือดขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจใช้คำบริกรรมภาวนาว่า“โลหิตกสิณัง” ใช้ภาพพื้นสีแดงเลือด เป็นวงกลม เป็นบริกรรมนิมิต
  • โอทากสิณ คือ การยกสีขาวขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมว่า “โอทากสิณัง” ใช้ภาพพื้นสีขาวเป็นบริกรรมนิมิต
  • อาโลกกสิณัง คือ การยกแสงสว่างขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมว่า“อาโลกกสิณัง” ใช้ภาพแสงสว่างเป็นบริกรรมนิมิต
  • อากาสกสิณัง คือ การยกอากาศ หรือช่องว่างขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมว่า “อากาสกสิณัง” ใช้ภาพอากาศ ช่องว่างเป็นบริกรรมนิมิต
***การเตรียมรูปกสิณเพื่อเป็นนิมิตสำหรับการเพ่งดู ตัวอย่างเช่น กสิณดิน จะใช้ดินฝุ่นสีแดงอิฐมาละลายน้ำให้เป็นเสมือนดินโคลบนแล้วนำผ้าสีขาวยาวด้านละประมาณ 50 เซนติเมตร แล้วนำโคลนดินมาทาเป็นรูปวงกลมรัศศมีประมาณ 30 เซนติเมตร ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง นำมาแขวนที่ผนังด้านหน้าที่ตนจะทำกรรมฐาน โดยระยะพอประมาณที่สายตามองได้ถนัด ไม่ก้ม ไม่เงยจนเกินไป ให้เหมาะแก่การมองเห็น***

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ปั้นเหน่ง เครื่องรางผูกจิตผี


ปั้นเหน่ง
**ในโลกในขอบเขตจักรวาลของเรานั้น มี อยู่ 2 สิ่งที่เหมือนกัน คือ รูป แล นาม เมื่อรู้ซึ่งถึงรูปแลนามแล้ว ก็ย่อมเป็นไปเพื่อการแยกรูปและนามออกไปได้ อันเป็นบาทฐานสู่การพิจารณาทางปัญญาขั้นสูงต่อไป**
**// นักปฏิบัติทั้งหลายต้องยอมรับ และเข้าใจว่ากิเลสและอุปสรรค นั้นเป็นบันไดที่เราต้องข้ามไปให้ได้ สิ่งที่เราพิจารณาให้ถอดถอนนามธรรมที่อยู่ในใจเรานั้น สิ่งที่เป็นกำแพงในใจของเราก็คือ ทิฏฐฺิมานะอันเป็นนามธรรม เราจึงจำเป็นต้องถอดถอนทิฏฐฺิที่ผิด หรือที่เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ ออกไปจากใจเรา ออกจากหมายมั่นยึดมั่นไป แล้วยอมรับนับถือเราพระรัตนตรัยอันบริสุทธิ์ เพื่อเป็นเสมือนหางเสือให้เราเดินทางไปสู่มรรคผลนิพพาน แม้ว่าพระนิพพานจะเป็นเช่นไร ก็ไม่ได้ต้องไปครุ่นคิดให้หนักจิตหนักใจ หากเรานิยามให้ความหมายโดยปราศจากความสงสัยลังเลว่า นิพพานคือที่ที่ หรือ สิ่งๆหรือบางอย่างก็ตามจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมหรือไม่ใช่ทั้งสองก็ตาม ก็ให้มุ่งไว้ว่าเป็นสิ่งที่ดับทุกข์ดับอาสวะกิเลสดองสันดาน ความยึดมั่นให้เกิดทุกข์ทั้งปวงไป และเราต้องไม่เกิดเพื่อทุกข์อีกต่อไป แล้วเราก็จะศรัทธาเลื่อมใสต่อสิ่งที่เราประพฤติบำเพ็ญอยู่มิเสื่อมคลาย//**
****ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างของมิจฉาทิฏฐิที่ผลิตออกมาเป็นรูปธรรมให้เราได้เห็นกัน โดยสิ่งนี้เป็นกระดูกหน้าผากผีตายโหงนำมาจารลงอักขระเป็นเครื่องรางที่เรียกว่า "ปั้นเหน่ง"***อันเป็นเดรัจฉานวิชาโดยแท้ ไม่ใช่พุทธคุณ จึงไม่ใช่วัตถุมงคลที่เราชาวพุทธควรนำมาแขวน หากแต่จะนำพาตัวเองครอบครัวอับจนถึงภัยพินาศในปลายทางนั้นได้** พระอาจารย์นำมาให้ชมเพื่อเป็นตัวอย่างของการที่ว่า ***เมื่อขจัดนามธรรมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ต้องขจัดรูปธรรมที่เป็นมิฉาทิฏฐินั้นด้วย

***ในรูปเป็นปั้นเหน่งที่พระอาจารย์ได้ล้างอาคมออกหมดจากการสงเคราะห์คนแล้วจึงได้บันทึกภาพไว้เพื่อเป็นบทเรียนแก่อนุชนคนรุ่นหลัง***

พิธีไหว้ครูประจำปีสำนักกรรมฐานวัดจันดาทอนปี ๒๕๖๖

  ประมวลภาพในวันไหว้ครูประจำปี ปีที่ ๒๑ ปี ๒๕๖๖ ระหว่าง วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ - วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕  ของทุกปี วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ประก...