**ในโลกในขอบเขตจักรวาลของเรานั้น มี อยู่ 2 สิ่งที่เหมือนกัน คือ รูป แล นาม เมื่อรู้ซึ่งถึงรูปแลนามแล้ว ก็ย่อมเป็นไปเพื่อการแยกรูปและนามออกไปได้ อันเป็นบาทฐานสู่การพิจารณาทางปัญญาขั้นสูงต่อไป**
**// นักปฏิบัติทั้งหลายต้องยอมรับ และเข้าใจว่ากิเลสและอุปสรรค นั้นเป็นบันไดที่เราต้องข้ามไปให้ได้ สิ่งที่เราพิจารณาให้ถอดถอนนามธรรมที่อยู่ในใจเรานั้น สิ่งที่เป็นกำแพงในใจของเราก็คือ ทิฏฐฺิมานะอันเป็นนามธรรม เราจึงจำเป็นต้องถอดถอนทิฏฐฺิที่ผิด หรือที่เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ ออกไปจากใจเรา ออกจากหมายมั่นยึดมั่นไป แล้วยอมรับนับถือเราพระรัตนตรัยอันบริสุทธิ์ เพื่อเป็นเสมือนหางเสือให้เราเดินทางไปสู่มรรคผลนิพพาน แม้ว่าพระนิพพานจะเป็นเช่นไร ก็ไม่ได้ต้องไปครุ่นคิดให้หนักจิตหนักใจ หากเรานิยามให้ความหมายโดยปราศจากความสงสัยลังเลว่า นิพพานคือที่ที่ หรือ สิ่งๆหรือบางอย่างก็ตามจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมหรือไม่ใช่ทั้งสองก็ตาม ก็ให้มุ่งไว้ว่าเป็นสิ่งที่ดับทุกข์ดับอาสวะกิเลสดองสันดาน ความยึดมั่นให้เกิดทุกข์ทั้งปวงไป และเราต้องไม่เกิดเพื่อทุกข์อีกต่อไป แล้วเราก็จะศรัทธาเลื่อมใสต่อสิ่งที่เราประพฤติบำเพ็ญอยู่มิเสื่อมคลาย//**
****ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างของมิจฉาทิฏฐิที่ผลิตออกมาเป็นรูปธรรมให้เราได้เห็นกัน โดยสิ่งนี้เป็นกระดูกหน้าผากผีตายโหงนำมาจารลงอักขระเป็นเครื่องรางที่เรียกว่า "ปั้นเหน่ง"***อันเป็นเดรัจฉานวิชาโดยแท้ ไม่ใช่พุทธคุณ จึงไม่ใช่วัตถุมงคลที่เราชาวพุทธควรนำมาแขวน หากแต่จะนำพาตัวเองครอบครัวอับจนถึงภัยพินาศในปลายทางนั้นได้** พระอาจารย์นำมาให้ชมเพื่อเป็นตัวอย่างของการที่ว่า ***เมื่อขจัดนามธรรมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ต้องขจัดรูปธรรมที่เป็นมิฉาทิฏฐินั้นด้วย
***ในรูปเป็นปั้นเหน่งที่พระอาจารย์ได้ล้างอาคมออกหมดจากการสงเคราะห์คนแล้วจึงได้บันทึกภาพไว้เพื่อเป็นบทเรียนแก่อนุชนคนรุ่นหลัง***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น