วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

พระกรรมฐาน ๔๐




สำนักกรรมฐานที่สำหรับศึกษาเรียนรู้


พระกรรมฐาน

ที่มาและเหตุผล

เมื่อใจนั้นเป็นต้นเหตุ หรือ บ่อเหตุของการแสดงกิริยาทางกาย และวาจา อีกทั้งเป็นฐานที่ตั้งของจิตวิญญาณ ใจเป็นอายตนะ(ที่ต่อ ที่รู้ ที่สัมผัสได้) รู้ธรรมะ ซึ่งธรรมะนั้นเองที่หมายเอาถึง สังขตธรรม(ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง) และอสังขตธรรม(ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง/หมายถึงพระนิพพาน) เราจึงต้องมีการปฏิบัติทางจิตโดยหาฐานที่ตั้งเพื่ออบรมจิตให้ก้าวข้ามในอารมณ์ต่างๆที่มากระทบใจของเราให้หวั่นไหว เพื่อเราจะได้มั่นคงในธรรม จริยธรรมต่างๆ และให้พ้นจากกามภพกามตัณหา เข้าสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นเป็น รูปภพ อรูปภพ ต่อไปจน สู่พระนิพพาน

ความหมายของพระกรรมฐาน

กรรมฐาน หมายถึง ฐานที่ตั้งของการกระทำ ในที่นี้ หมายถึงการกระทำทางจิตใจ เพราะฉะนั้น กรรมฐานคือฐานที่ตั้งของการกระทำทางจิตใจ

ประเภทของพระกรรมฐาน

แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑.สมถกรรมฐาน คือ กรรมฐานที่ใช้การภาวนาให้เกิดจิตสงบลงอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งหมายให้เกิดความสงบ ระงับเป็นสำคัญ ในพระคำภีร์พระวิสุทธิมรรค ได้กล่าวไว้ว่ามี ๔๐ กอง หรือ ๔๐ อย่าง* เช่น ปฐวีกสิณ(กสิณดิน) เป็นต้น

๒.วิปัสสนากรรมฐาน คือ กรรมฐานที่เกิดจากการภาวนาให้เกิดปัญญารอบรู้ในกองสังขาร เพื่อให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เช่น การพิจารณรูปขันธ์ เป็นต้น

สมถกรรมฐาน

กรรมฐานที่ว่าด้วยการทำจิตให้ถึงความสงบ ระงับ อย่างรวดเร็วโดยใช้การภาวนา ซึ่งการภาวนาเป็นการทำจิตให้เข้าถึงนั้น แบ่งเป็น ๒ คือ บริกรรมภาวนา และบริกรรมนิมิต

บริกรรมภาวนา คือ การท่องบ่นคำกล่าวที่เป็นคุณเป็นนามในใจ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความเคยชินขึ้นจนขึ้นใจ เช่น สมถกรรมฐานกองที่ว่าด้วย พุทธานุสสติกรรมฐาน ใช้คำภาวนาเช่น พุทโธ

บริกรรมนิมิต คือ การนึกเห็นรูปหรือนิมิตหมายในองค์กรรมฐานที่เราภาวนาไว้เนืองๆ เพื่อให้เกิดภาพเสมือนในกรรมฐานกองนั้นๆ อันจะยังประโยชน์ให้เราจดจำเป็นสัญญารมณ์เป็นหมายในการวิจาร(การใคร่ครวญ อันเป็นองค์ประกอบในสมาธิ ๕*)ต่อไป

กรรมฐาน ๔๐ กอง

กสิณ ๑๐ กรรมฐานที่มีรูปธาตุต่างๆ เป็นองค์กรรมฐาน ได้ผลเป็น รูปฌาน

มีดังต่อไปนี้คือ

ธาตุกสิณ

ปฐวีกสิณ คือ การยกดินพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “ปฐิวีกสิณัง” ใช้ภาพดินเป็นวงกลมหรือดินปฐพีสีแดงอิฐเป็นบริกรรมนิมิต

อาโปกสิณ คือ การยกน้ำขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “อาโปกสิณัง” ใช้ภาพน้ำในขันหรือพื้นท้องน้ำเป็นบริกรรมนิมิต

เตโชกสิณ คือ การยกไฟขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “เตโชกสิณัง” ใช้ภาพไฟที่ลุกโชนเป็นบริกรรมนิมิต

วาโยกสิณ คือ การยกลมขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “วาโยกสิณัง” ใช้ภาพอาการลมพัดยอดไม้ไหว หรืออาการแรงลมปะทะในสิ่งต่างๆอย่างอ่อนไหว เป็นบริกรรมนิมิต

กสิณสี

นีลกสิณ คือ การยกสีเขียวขึ้นเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “นีลกสิณัง” ใช้ภาพพื้นสีเขียวเป็นวงหรือภาพแสงสีเขียว/พื้นเขียวเป็นบริกรรมนิมิต

ปีตกสิณ คือ การยกสีเหลืองขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “ปีตกสิณัง” ใช้ภาพสีเหลืองเป็นวงหรือภาพพื้นสีเหลืองเป็นบริกรรมนิมิต

โลหิตกสิณ คือ การยกสีแดงเลือดขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “โลหิตกสิณัง” ใช้ภาพพื้นสีแดงเลือด เป็นวงกลม เป็นบริกรรมนิมิต

โอทากสิณ คือ การยกสีขาวขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมว่า“โอทากสิณัง” ใช้ภาพพื้นสีขาวเป็นบริกรรมนิมิต

อาโลกกสิณัง คือ การยกแสงสว่างขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมว่า “อาโลกกสิณัง” ใช้ภาพแสงสว่างเป็นบริกรรมนิมิต

อากาสกสิณัง คือ การยกอากาศ หรือช่องว่างขึ้นพิจารณาเป็นอารมณ์ใจ ใช้คำบริกรรมว่า “อากาสกสิณัง” ใช้ภาพอากาศ ช่องว่างเป็นบริกรรมนิมิต

อสุภ ๑๐ 
คือ การพิจารณาซากศพที่มีอาการต่างๆ อันไม่สวยไม่งามเป็นอารมณ์ใจ มีผลให้ถอดถอนความรักความพอใจ ลุ่มหลงในร่างกาย มีดังต่อไปนี้คือ

(อุทธุมาตกอสุภ ๑ วินีลกอสุภ ๑ วิปุพพกอสุภ ๑ วิฉิททกอสุภ ๑ วิกขายิตกอสุภ ๑ วิกขิตตกอสุภ ๑ หตวิกขิตกอสุภ ๑ โลหิตกอสุภ ๑ ปุฬุวกอสุภ ๑ อัฏฐิกอสุภ ๑)

อุทธุมาตกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพที่อันพองขึ้นตามลำดับ โดยเดิมนั้นแต่สิ้นชีวิตพอบวมขึ้นบริบูรณ์ไปด้วยลม ใช้บริกรรมภาวนาว่า “อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ” ร้อยคาบ พันคาบจนกว่าใจจะติดในคำบริกรรม และภาพที่ใช้บริกรรมนิมิตเป็นภาพซากศพที่อืดพอง

วินีลกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพอันมีสีต่างๆคือสีแดงสีเขียว โดยมีสีเขียวเจือมากกว่า จึงได้ชื่อเรียกเป็น วีนิล ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า “วีนีลกํปฏิกุลํ” ร้อยคาบ พันคาบ จนกว่าจะติดปากติดใจ และภาพที่ใช้ในการบริกรรมนิมิต ใช้ภาพซากศพอันขึ้นอืดออกสีเขียวแดง ขาว

วิปุพพกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพอสุภที่มีน้ำหนองไหลเป็นอารมณ์ ใช้คำบริกรรมว่า “วิปุพฺพกํ ปฏิกุลํ” จนกว่าจะติดปากติดใจ ภาพนิมิตให้ใช้ภาพ ศพที่มีหนองไหล และเมื่อสำเร็จปฏิภาคนิมิตแล้วนั้นจะปรากฏซากศพสงบนิ่งอยู่มีซับหนองอยู่โดยจิตมิได้หวาดหวั่น

วิฉิททกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพที่ถูกตัด ฟันขาด สภาพร่างฉีกขาด ไม่สมบูรณ์ ใช้คำบริกรรมว่า “วิฉิทฺทกํปฏิกุลํ” ร้อยคาบ พันคาบ จนกว่าจะติดปากติดใจประกอบกันนั้นให้นึกรูปภาพซากศพที่มีลักษณะอวัยวะขาดออกจากร่างกาย จนกว่าจะเกิดปฏิภาคนิมิต เห็นเป็นซากศพที่มีลักษณะอวัยะบริบูรณ์สมบูรณ์อยู่ดังเดิม

วิกขายิตกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพที่ถูกสัตว์กัดทึ้งเช่นสุนัข เป็นต้น ใช้คำบริกรรมว่า “วิกขายิตกํปฏิกุลํ” จนกว่าจะติดใจอุคหนิมิตจะบังเกิดปรากฏเหมือนร่างศพอสุภตกกลิ้งอยู่ ส่วนปฏิภาคนิมิตจะปรากฏร่างกายสมบูรณ์ไม่ปรากฏลักษณะสัตว์กัดกินแต่ประการใด

วิกขิตตกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพที่ถูกหั่นขาดจากกันเป็นหว่างๆไม่ต่อเนื่องไม่สมบูรณ์ การตั้งต้นคือให้โยมวัดหรือสามเณรไปจัดประมวลหามากองต่อกันให้ห่างกันนิ้วหนึ่งแล้วเจริญบริกรรมว่า “วิกฺขิตฺตกํปฏิกุลํ” ว่าไปจนกว่าจะปรากฏอุคหนิมิต เป็นช่องหว่างๆเหมือนร่างอสุภ ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้นจะมีลักษณะสมบูรณ์หาช่องหว่างมิได้เลย

หตวิกขิตตกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพที่อันบุคคลผู้เป็นโจรข้าศึกสับฟันขาดเป็นท่อนๆการจัดหาองค์กรรมฐาน ให้นำซากศพนั้นมาวางให้ห่างกันประมาณ ๑ นิ้ว แล้วกำหนดบริกรรมว่า “หตวิกฺขิตตกํ ปฏิกุลํ” บ่อยๆเนืองๆจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต

โลหิตกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพที่เต็มอาบไปด้วยโลหิตหรือเลือด ไหลออกมาจากปากแผลที่ถูกตัดออกหรือไหลออกจากฝี ตุ่มต่อมแตกออกไหลย้อยออกมา กำหนดบริกรรมว่า “โลหิตกํ ปฏิกุลํ” จนกว่าคำบริกรรมนั้นจะขึ้นใจ ส่วนบริกรรมนิมิต ก็ให้ภาพของบาดแผลมีโลหิตไหลออกจนกว่าจะเกิดปฏิภาคนิมิต ส่วนในอุคคหนิมิตนั้นจะมีภาพโลหิตเป็นเสมือนผ้าแดงปลิ้วไสว ปฏิภาคนั้นจะเรียบนิ่งเฉยอยู่

ปุฬุวกอสุภ คือ การพิจารณาซากศพที่มีหมู่หนอนคราคร่ำ ออกมาจากทวารทั้ง ๙ อันศพที่บุคคลนำมาทิ้งไว้ ๒ วัน ๓ วันแล้ว หรือ เราจะพิจารณาซากศพของสัตว์ที่ตายลงโดยมีหมู่หนอนซอนไซ ดุจเสมือนหนึ่งเมล็ดข้าวสาลีก็ได้ คำบริกรรมคือ “ปุฬุวกํ ปฏิกุลํ” จนกว่าสำเร็จในอุคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิต

อัฏฐิกอสุภ คือ การพิจารณาซากอสุภอันมีร่างอัฏฐิ ซึ่งจะประกอบด้วยเส้นเอ็นหรือโลหิตก็ได้ หรือ จะประกอบแต่เพียงโครงร่างกระดูกโดยอย่างเดียวก็ได้ การกำหนดโดยให้เสมอก้อนศิลาเป็นปกติ ยึดว่าเป็นกระดูกถืออัฏนิมิตโดยอาการ ๑๐ คือ สี ๑ เพศ ๑ สัณฐาน ๑ ทิศ ๑ ที่ตั้ง ๑ ที่กำหนด ๑ ที่ต่ำ ๑ ที่สูง ๑ ระหว่าง ๑ ที่ต่อ ๑ รอบคอบแห่ง อัฏฐิ ๑ รอบเป็น ๑๑ โดยเหตุกระดูกมีธาตุสีโอทา คือสีขาว มิได้เป็นดั่งเช่นสิ่งปฏิกูล ให้โยคาพจรเจ้านั้นพิจารณาให้เห็นเป็นดั่งเช่นสิ่งปฏิกูล ใช้คำบริกรรมว่า “อฏฺฐิกํ ปฏิกุลํ” จนกว่าจะสำเร็จในอัปปณา ส่วนอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนั้นเป็นเสมือนอันเดียวกันไม่ได้ผิดแผกแตกต่างกันไป ในอัฐิท่อนเดียว หากพิจารณาทั้งสิ้นในทั้งหมดร่างกระดูก นิมิตย่อมแตกต่างกันไป

อสุภกรรมฐานเป็นที่สบายของบุคคลที่เป็นราคจริตประพฤติมักมาก

อนุสสติกรรมฐาน ๑๐ 
คือ การพิจารณาระลึกถึงเสมอๆเนืองๆ อย่างมีสติที่สมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา ด้วยเหตุว่าควรประพฤติเป็นไปอันจะควรระลึกถึง

ประเภทของอนุสสติกรรมฐาน

๑. พุทธานุสสติ คือ การปรารภรำพึงระลึกถึงพระพุทธคุณเนืองๆ

๒. ธัมมานุสสติ คือ มีสติระลึกถึงพระธรรมคุณเนืองๆ

๓. สังฆานุสสติ คือ การระลึกถึงพระสังฆคุณอยู่เนืองๆ

๔. สีลานุสสติ คือ การระลึกถึงศีลคุณเป็นอารมณ์เนืองๆ

๕. จาคานุสสติ คือ การระลึกถึงการบริจาคทานเป็นเนืองๆ

๖. เทวตานุสสติ คือ การระลึกถึงเทพยาดาตั้งเทพยาดาทั้งปวงไว้ในที่เป็นพยานแล้ว กลับมาระลึกคุณของตนมีศรัทธาเป็นอาทิ

๗. มรณานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณของความตายเป็นอารมณ์อย่างเนืองๆ

๘. กายคตานุสสติ คือสติระลึกถึงร่างกายอันมีอาการ ๓๒ ประการ มีผม เป็นต้น

๙. อานาปานสติ คือ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์

๑๐.อุปสมานุสสติ คือ การระลึกถึงความปรารถนาพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่เนืองๆ

อัปปมัญญาพรหมวิหาร ๔ 
คือ การมีสติพิจารณาในอาการ ๔ ประการมี

๑. เมตตา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข

๒. กรุณา คือ ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์

๓. มุทิตา คือ พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข

๔. อุเบกขา คือ วางเฉยเมื่อคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก หากไม่สามารถช่วยเหลือได้แล้วปล่อยใจเป็น กลางเสีย

อรูปฌาน ๔
 คือ สมาธิที่มีที่ตั้งเหนือต่อรูปธรรม หรือเพิกต่อรูปธรรม มี ๔ ประการคือ

๑. อากาสานัญจายตนะ คือ การเจริญในฌานที่ผ่านหรือเพิกต่อรูปจตุตถฌานในปฏิภาคนิมิตออกไป

๒. วิญญานัญจายตนะ คือ การเจริญฌานที่ก้าวล่วงต่ออากาสนั้นเป็นความรู้แจ้งสว่างในจิตอย่างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

๓. อากิญจัญยายตนะ คือ การเจริญฌานที่ถอนจากความรู้แม้เพียงสักนิดยังไม่มีไม่ปรากฏขึ้น

๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือ อรูปฌานที่ก้าวล่วงจาdอากิยจัญยายตนะคือแม้เพียงน้อยนิดหนึ่งก็ไม่มีจนในสัญญาความจำได้หมายรู้จะมีใช่หรือไม่มีใช่จำได้ไม่

การที่จะเจริญในอรูปฌานนั้นต้องเดินฌานมาตั้งแต่ รูปฌานที่ ๔ แล้วก้าวล่วงเพิกถอนจากรูปฌานที่ ๔ ในรูปกสิณ แล้วเข้าสู่อากาสานัญจายตนะเป็นเบื้องต้น จนถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นเบื้องปลายที่สุด โดยกสิณทั้ง ๑๐ นั้นเว้น อากาสกสิณเพียง ๑

อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ คือ การเจริญสติพิจารณาในความเป็นปฏิกูลของอาหารอย่างเนืองๆ

จตุธาตุวัตถาน ๑ คือ การเจริญสติพิจารณาในธาตุทั้ง ๔ ว่าทุกสสารสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นปรุงแต่งขึ้นจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ทั้งสิ้น


วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

การเจริญเมตตาภาวนา


การเจริญเมตตาในพระพุทธศาสนา กล่าวว่าไว้ในพระไตรปิฎกและในอรรถกถาจารย์ โดยกล่าวว่า "การเจริญอัปปมัญญาพรหมวิหาร ๔" เป็นการเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คำบาลีกล่าวดังนี้ "อนุสฺสติกมฺมฏฺฐานานนฺตรํ อุทิฏเฐสุ ปน เมตฺตากรุณามุทิตาอุเปกขาติ อิเม จตูสุ พฺรหฺมวิหาเรสุ เมตฺตํ ภาเวกาเมน ฯลฯ ปจฺจเวกฺขิตพฺโพ "
โดย ผู้ที่มีอุปนิสัยไปทาง ราคจริต มีพรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานที่ควรพิจารณารวมอยู่ด้วย
เบื้องต้น ควรตัดปลิโพธ ๑๐ ประการ ออกเพื่อความเจริญของการภาวนาจะได้ไม่ติดขัด ปลิโพธคือ เครื่องกังวลต่างๆ มี ๑.อาวาสปลิโพธ(กังวลอยู่ด้วยที่อยู่อาศัยอันเอื้อเฟื้อบริบูรณ์ด้วยที่กินร่มไม้และน้ำ
          ๒.กุลปลิโพธ คือความกังวลเนื่องด้วยตระกูลญาติและอุปัฏฐากที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
          ๓.ลาภปลิโพธ คือความกังวลเนื่องด้วยลาภสักการะ
          ๔.คณปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยหมู่คณะ
          ๕.กัมมปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยกระทำนวกรรม กล่าวคือเอาใจใส่การก่อสร้างเช่นงานช่างไม้ ไม่เอาใจใสต่อการกระทำดีการะทำชั่ว
          ๖.อัทธานปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยการเดินทางไกล เช่นว่าจะไปบวชกุลบุตรในที่ไกล
          ๗.ญาติปลิโพธ คือ ความกังวลอยู่ด้วยมารดาบิดา พี่ชายหญิง แลทั้งอุปัชฌาย์อาจารย์ สัทธิวิหาริกแลอันเตวาสิกที่ป่วยไข้
          ๘.อาพาธปลิโพธ คือความกังวลด้วยโรคในกายตน
          ๙.คันถปลิโพธ คือความกังวลอยู่กับการศึกษาปริยัติธรรมเป็นนิตย์นั้น
          ๑๐.อิทธิปลิโพธ คือ ความกังวลอยู่ด้วยการเจริญรักษาฤทธิ์(เป็นปลิโพธแห่งสมาธิวิปัสสนา)
แล้วเดินทางสู่สำนักพระอาจารย์ผู้บอกสอนพระกรรมฐาน ซึ่งทิศทางการกระทำจิตนั้น ให้พิจารณาให้เห็นโทษของโทสะ และพิจารณาให้เห็นอานิสงส์ของขันติ(ความอดทน อดกลั้น) 
          - เมื่อไม่สามารถจะพิจารณาให้ละในโทสะนั้นได้ ก็ให้พิจารณาดังนี้ อันบุคคลเมื่อโทสะประทุษร้ายอันครอบงำแล้วย่อมทำร้าย กระทำบุคคลอื่น ฆ่าบุคคลอื่นให้ตายลงไป โทสะนั้นย่อมกระทำให้บุคคลนั้นเศร้าหมอง เดือดร้อน ทุกขทรมานในคุกตะรางและอบายภูมิ
          -แล้วพิจารณาอานิสงส์ของขันติ  ว่าเป็นธรรมเครื่องแผดเผากิเลสให้ย่อยยับลงไปได้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าขันติเป็นทางพ้นทุกข์คือพระนิพพานเลยทีเดียว
          บุคคล ๔ จำพวกที่ทำร้ายซึ่งเมตตาภาวนา คือ ๑.บุคคลอันมิได้เป็นที่รักของตน ๒.บุคคลอันเป็นที่รักของตน ๓.บุคคลอันมัธยัสถ์มิได้เป็นที่รักที่ชังของตน ๔.บุคคลอันเป็นเวรแก่ตน
          บุคคลเหล่านี้ไม่ควรตั้งเจริญเมตตาภาวนาไว้ก่อนเพราะจะยากแก่การกำหนดจิตให้เมตตาไปได้
และบุคคลอื่นๆอีกที่อย่าจำเพาะไปตั้งเจริญเมตตาภาวนา ได้แก่ มาตุคาม(ผู้หญิง) หรือเพศตรงข้าม จะทำให้ราคะกำเริบ และคนที่ตายแล้ว
แนวทางปฏิบัติ ให้ผู้เจริญเมตตาภาวนานั้นพึงกำหนดจิตตนว่า ตนยังเป็นผู้รักสุขเกลียดทุกข์ แล้วบุคคลอื่นเล่า ก็เฉกเช่นเดียวกัน
          โดยตั้งจิตเมตตาไปแก่ตนก่อน
          มีคำกล่าวบริกรรมคือ "อหํสุขิโต โหมิ นิทุกฺโข โหมิ อเวโร โหมิ อัพยาปชฺโช โหมิ อนีโฆ โหมิ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ"
          แปลว่า  "ขอให้ข้าเป็นสุข ปราศจากทุกข์ ปราศจากเวร ไม่พยาบาท หาทุกข์มิได้ จงรักษาตนให้พ้นจากภัยทั้งสิ้นเถิด"
          แล้วแผ่เมตตาไปสู่ผู้อื่นดังนี้
          ๑.อโนทิศ คือ มิได้เฉพาะ            ๒.โอทิศ คือ แผ่ไปเฉพาะ            ๓.ทิสาผรณะ คือ ทิศทั้ง ๑๐

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

ปลิโพธ 10 (เครื่องกังวลต่อการปฏิบัติกรรมฐาน)


ปลิโพธ
หมายถึง เครื่องผูกพันหรือ หน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ใจพะวักพะวนห่วงกังวล,เหตุขัดข้อง,ข้อขัดข้อง

ควรตัดปลิโพธ ๑๐ ประการ ออกเพื่อความเจริญของการภาวนาจะได้ไม่ติดขัด ปลิโพธคือ เครื่องกังวลต่างๆ มี ๑.อาวาสปลิโพธ(กังวลอยู่ด้วยที่อยู่อาศัยอันเอื้อเฟื้อบริบูรณ์ด้วยที่กินร่มไม้และน้ำ
          ๒.กุลปลิโพธ คือความกังวลเนื่องด้วยตระกูลญาติและอุปัฏฐากที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
          ๓.ลาภปลิโพธ คือความกังวลเนื่องด้วยลาภสักการะ
          ๔.คณปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยหมู่คณะ
          ๕.กัมมปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยกระทำนวกรรม กล่าวคือเอาใจใส่การก่อสร้างเช่นงานช่างไม้ ไม่เอาใจใสต่อการกระทำดีการะทำชั่ว
          ๖.อัทธานปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยการเดินทางไกล เช่นว่าจะไปบวชกุลบุตรในที่ไกล
          ๗.ญาติปลิโพธ คือ ความกังวลอยู่ด้วยมารดาบิดา พี่ชายหญิง แลทั้งอุปัชฌาย์อาจารย์ สัทธิวิหาริกแลอันเตวาสิกที่ป่วยไข้
          ๘.อาพาธปลิโพธ คือความกังวลด้วยโรคในกายตน
          ๙.คันถปลิโพธ คือความกังวลอยู่กับการศึกษาปริยัติธรรมเป็นนิตย์นั้น
          ๑๐.อิทธิปลิโพธ คือ ความกังวลอยู่ด้วยการเจริญรักษาฤทธิ์(เป็นปลิโพธแห่งสมาธิวิปัสสนา)

พิธีไหว้ครูประจำปีสำนักกรรมฐานวัดจันดาทอนปี ๒๕๖๖

  ประมวลภาพในวันไหว้ครูประจำปี ปีที่ ๒๑ ปี ๒๕๖๖ ระหว่าง วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ - วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕  ของทุกปี วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ประก...