วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

การเจริญเมตตาภาวนา


การเจริญเมตตาในพระพุทธศาสนา กล่าวว่าไว้ในพระไตรปิฎกและในอรรถกถาจารย์ โดยกล่าวว่า "การเจริญอัปปมัญญาพรหมวิหาร ๔" เป็นการเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คำบาลีกล่าวดังนี้ "อนุสฺสติกมฺมฏฺฐานานนฺตรํ อุทิฏเฐสุ ปน เมตฺตากรุณามุทิตาอุเปกขาติ อิเม จตูสุ พฺรหฺมวิหาเรสุ เมตฺตํ ภาเวกาเมน ฯลฯ ปจฺจเวกฺขิตพฺโพ "
โดย ผู้ที่มีอุปนิสัยไปทาง ราคจริต มีพรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานที่ควรพิจารณารวมอยู่ด้วย
เบื้องต้น ควรตัดปลิโพธ ๑๐ ประการ ออกเพื่อความเจริญของการภาวนาจะได้ไม่ติดขัด ปลิโพธคือ เครื่องกังวลต่างๆ มี ๑.อาวาสปลิโพธ(กังวลอยู่ด้วยที่อยู่อาศัยอันเอื้อเฟื้อบริบูรณ์ด้วยที่กินร่มไม้และน้ำ
          ๒.กุลปลิโพธ คือความกังวลเนื่องด้วยตระกูลญาติและอุปัฏฐากที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
          ๓.ลาภปลิโพธ คือความกังวลเนื่องด้วยลาภสักการะ
          ๔.คณปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยหมู่คณะ
          ๕.กัมมปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยกระทำนวกรรม กล่าวคือเอาใจใส่การก่อสร้างเช่นงานช่างไม้ ไม่เอาใจใสต่อการกระทำดีการะทำชั่ว
          ๖.อัทธานปลิโพธ คือความกังวลอยู่ด้วยการเดินทางไกล เช่นว่าจะไปบวชกุลบุตรในที่ไกล
          ๗.ญาติปลิโพธ คือ ความกังวลอยู่ด้วยมารดาบิดา พี่ชายหญิง แลทั้งอุปัชฌาย์อาจารย์ สัทธิวิหาริกแลอันเตวาสิกที่ป่วยไข้
          ๘.อาพาธปลิโพธ คือความกังวลด้วยโรคในกายตน
          ๙.คันถปลิโพธ คือความกังวลอยู่กับการศึกษาปริยัติธรรมเป็นนิตย์นั้น
          ๑๐.อิทธิปลิโพธ คือ ความกังวลอยู่ด้วยการเจริญรักษาฤทธิ์(เป็นปลิโพธแห่งสมาธิวิปัสสนา)
แล้วเดินทางสู่สำนักพระอาจารย์ผู้บอกสอนพระกรรมฐาน ซึ่งทิศทางการกระทำจิตนั้น ให้พิจารณาให้เห็นโทษของโทสะ และพิจารณาให้เห็นอานิสงส์ของขันติ(ความอดทน อดกลั้น) 
          - เมื่อไม่สามารถจะพิจารณาให้ละในโทสะนั้นได้ ก็ให้พิจารณาดังนี้ อันบุคคลเมื่อโทสะประทุษร้ายอันครอบงำแล้วย่อมทำร้าย กระทำบุคคลอื่น ฆ่าบุคคลอื่นให้ตายลงไป โทสะนั้นย่อมกระทำให้บุคคลนั้นเศร้าหมอง เดือดร้อน ทุกขทรมานในคุกตะรางและอบายภูมิ
          -แล้วพิจารณาอานิสงส์ของขันติ  ว่าเป็นธรรมเครื่องแผดเผากิเลสให้ย่อยยับลงไปได้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าขันติเป็นทางพ้นทุกข์คือพระนิพพานเลยทีเดียว
          บุคคล ๔ จำพวกที่ทำร้ายซึ่งเมตตาภาวนา คือ ๑.บุคคลอันมิได้เป็นที่รักของตน ๒.บุคคลอันเป็นที่รักของตน ๓.บุคคลอันมัธยัสถ์มิได้เป็นที่รักที่ชังของตน ๔.บุคคลอันเป็นเวรแก่ตน
          บุคคลเหล่านี้ไม่ควรตั้งเจริญเมตตาภาวนาไว้ก่อนเพราะจะยากแก่การกำหนดจิตให้เมตตาไปได้
และบุคคลอื่นๆอีกที่อย่าจำเพาะไปตั้งเจริญเมตตาภาวนา ได้แก่ มาตุคาม(ผู้หญิง) หรือเพศตรงข้าม จะทำให้ราคะกำเริบ และคนที่ตายแล้ว
แนวทางปฏิบัติ ให้ผู้เจริญเมตตาภาวนานั้นพึงกำหนดจิตตนว่า ตนยังเป็นผู้รักสุขเกลียดทุกข์ แล้วบุคคลอื่นเล่า ก็เฉกเช่นเดียวกัน
          โดยตั้งจิตเมตตาไปแก่ตนก่อน
          มีคำกล่าวบริกรรมคือ "อหํสุขิโต โหมิ นิทุกฺโข โหมิ อเวโร โหมิ อัพยาปชฺโช โหมิ อนีโฆ โหมิ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ"
          แปลว่า  "ขอให้ข้าเป็นสุข ปราศจากทุกข์ ปราศจากเวร ไม่พยาบาท หาทุกข์มิได้ จงรักษาตนให้พ้นจากภัยทั้งสิ้นเถิด"
          แล้วแผ่เมตตาไปสู่ผู้อื่นดังนี้
          ๑.อโนทิศ คือ มิได้เฉพาะ            ๒.โอทิศ คือ แผ่ไปเฉพาะ            ๓.ทิสาผรณะ คือ ทิศทั้ง ๑๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พิธีไหว้ครูประจำปีสำนักกรรมฐานวัดจันดาทอนปี ๒๕๖๖

  ประมวลภาพในวันไหว้ครูประจำปี ปีที่ ๒๑ ปี ๒๕๖๖ ระหว่าง วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ - วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕  ของทุกปี วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ประก...